รวมเมนูน้ำชงที่ชาวออฟฟิศชอบสั่ง ดื่มทุกวันส่งผลเสียไหม
ต้องยอมรับว่าชาวออฟฟิศหลายคนชอบกินน้ำหวานทุกวัน เพราะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะเมนูน้ำชงที่มีคาเฟอีน ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นตัว และมีสมาธิมากขึ้น ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายในช่วงที่ต้องการพักเบรก และเมนูน้ำชงต่างๆ ยังให้พลังงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะน้ำตาลในเครื่องดื่มเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด จึงเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และให้พลังงานได้ในทันที มาดูว่ามีเมนูไหนบ้างที่ชาวออฟฟิศชอบสั่ง พร้อมตอบข้อสงสัยกินน้ำหวานทุกวันจะเป็นอะไรไหม
7 เมนูน้ำชงที่ชาวออฟฟิศชอบสั่ง มีน้ำตาลเท่าไหร่บ้าง
- น้ำแดงโซดา มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 16 ช้อนชา (64 กรัม)
- โอวัลตินเย็น มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 13 ช้อนชา (52 กรัม)
- นมเย็น มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 12 ช้อนชา (48 กรัม)
- ชาเย็น มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 11 ช้อนชา (44 กรัม)
- ชาเขียว มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 11 ช้อนชา (44 กรัม)
- ชานม มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 11 ช้อนชา (44 กรัม)
- กาแฟเย็น มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 11 ช้อนชา (44 กรัม)
โดยส่วนผสมหลักของเมนูน้ำชงข้างต้น ได้แก่ น้ำตาลทราย นมข้นหวาน และผงของเมนูน้ำชงต่างๆ ซึ่งให้พลังงานค่อนข้างสูง มาดูกันว่าวัยทำงานอย่างเรา ควรได้รับน้ำตาลวันละเท่าไหร่ เพื่อให้คุณเลือกกินน้ำหวานแต่พอดี ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว
วัยทำงานควรได้รับน้ำตาลวันละเท่าไหร่
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า ผู้ใหญ่วัยทำงานควรได้รับน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือประมาณ 24 กรัมต่อวัน เพราะต้องการให้ผู้ใหญ่จำกัดการบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 5-10% ของพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน คิดได้ดังนี้
- ผู้หญิงต้องการพลังงานเฉลี่ยวันละ 2,000 กิโลแคลอรี ส่วนผู้ชายต้องการเฉลี่ยวันละ 2,500 กิโลแคลอรี (ขึ้นอยู่กับวัย ส่วนสูง น้ำหนัก และกิจกรรมในแต่ละวัน)
- กรณีที่ร่างกายต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี ควรจำกัดการบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 5-10% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน ซึ่งก็คือ 100-200 กิโลแคลอรี
- น้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ดังนั้น ผู้ใหญ่วัยทำงานควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 25 กรัมต่อวัน สูงสุดไม่ควรเกิน 50 กรัมต่อวัน
การจำกัดปริมาณน้ำตาลในแต่ละวันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมนี้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ฟันผุ และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะถ้าเลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสมควบคู่กันไปด้วย
กินน้ำหวานทุกวันส่งผลเสียยังไงต่อร่างกาย
ใครที่กำลังสงสัยว่า กินชาไทย กินชาเขียวทุกวันอันตรายไหม? ชาไทย ชาเขียว มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 11 ช้อนชา หรือประมาณ 44 กรัม ซึ่งผู้ใหญ่วัยทำงานควรได้รับน้ำตาลสูงสุดไม่ควรเกิน 50 กรัมต่อวัน ดังนั้น ใครที่ชอบกินชาไทย ชาเขียวทุกวัน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ซึ่งการกินน้ำหวานทุกวันจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ดังนี้
- เสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน เพราะเมนูน้ำชงส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำตาลสูง ถ้ากินเป็นประจำโดยไม่จำกัดปริมาณน้ำตาลที่ควรได้รับต่อวัน จะส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และภาวะดื้อต่ออินซูลิน เพราะการบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากเป็นประจำ ส่งผลเสียต่อการทำงานของอินซูลินในร่างกายได้
- อาจก่อให้เกิดปัญหาฟันผุ เพราะเชื้อแบคทีเรียในช่องปากจะย่อยน้ำตาลเป็นกรด ส่งผลให้เคลือบฟันสึกกร่อน ถ้าไม่รักษาสุขอนามัยในช่องปากให้ดี ก็อาจเกิดปัญหาฟันผุได้ง่ายขึ้น
- กินน้ำหวานทุกวันอาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายได้ และอาจไม่รู้สึกหิว จึงลดปริมาณอาหารมื้อหลักที่มีคุณค่าทางโภชนาการลงไปด้วย
กินกาแฟดําทุกวันอันตรายไหม กินยังไงให้ได้ประโยชน์
สำหรับใครที่ไม่ใช่สายเมนูน้ำชง น้ำหวาน อาจเลือกกินกาแฟดำทุกวันก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งกาแฟดํา คือ กาแฟที่ชงโดยใช้เมล็ดกาแฟคั่วบด และน้ำร้อนเท่านั้น ไม่มีการเติมนม ครีม น้ำตาล หรือส่วนผสมอื่นๆ กาแฟดำจึงมีรสชาติเข้มข้น หอมกรุ่น และมีสีดำสนิท โดยกาแฟดํามีประโยชน์ ดังนี้
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านการเกิดโรคต่างๆ ได้
- มีคาเฟอีนช่วยกระตุ้นประสาท ทำให้รู้สึกตื่นตัว และมีสมาธิมากขึ้น
- ช่วยเร่งการเผาผลาญ ลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้
- ลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และโรคทางระบบประสาท
- บำรุงตับ ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
- ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
แม้กาแฟดํามีประโยชน์มากมาย แต่ก็ควรกินแต่พอดีประมาณวันละ 3-4 แก้ว หรือวันละไม่เกิน 400 มิลลิกรัม โดยวัยทำงานควรเลือกกินกาแฟดำในช่วงเช้าหรือบ่าย เพื่อให้คาเฟอีนออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ช่วง 3-4 ชั่วโมงแรก และหลีกเลี่ยงการกินกาแฟก่อนนอน เพราะอาจรบกวนการนอนหลับจนส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในวันถัดไป และถ้ากินมากเกินไปอาจทำให้มีอาการใจสั่น ปวดท้อง หรือกรดไหลย้อนได้
สรุป เมนูน้ำชงของชาวออฟฟิศ กินทุกวันส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ถ้ากินน้ำหวานทุกวันส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างแน่นอน ดังนั้น เพื่อให้เรามีสุขภาพแข็งแรง มีความพร้อมที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ ควรเลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพ อาจใช้หลักกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดเป็นแนวทาง เลือกกินน้ำหวานแต่พอดี ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือ การทำประกันโรคร้ายแรง หรือประกันสุขภาพเผื่อไว้ เพราะไม่มีใครการันตีได้ว่าเราจะป่วยตอนไหน โดยเฉพาะวัยทำงานที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบ และความเครียดสะสม การมีหลักประกันไว้จะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาได้อย่างแน่นอน