รู้จักอัตราสิ้นเปลืองรถไฟฟ้า พร้อมวิธีคำนวณค่าไฟอย่างละเอียด

ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย หลายคนอาจกำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมาเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะช่วยลดมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย แต่การตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้า คุณไม่ควรดูแค่ว่าชาร์จครั้งหนึ่งวิ่งได้ไกลเท่าไร แต่ควรพิจารณาถึงอัตราสิ้นเปลืองรถไฟฟ้าด้วย เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการขับขี่ประจำวัน บทความนี้ประกันติดโล่จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องอัตราสิ้นเปลืองรถไฟฟ้า พร้อมวิธีคำนวณค่าไฟอย่างละเอียด รวมถึงเคล็ดลับในการประหยัดพลังงานเพื่อให้การใช้งานรถไฟฟ้าคุ้มค่าที่สุดครับ
อัตราสิ้นเปลืองรถไฟฟ้าคืออะไร
อัตราสิ้นเปลืองรถไฟฟ้า คือ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่รถใช้ในการขับเคลื่อนต่อระยะทางหนึ่ง ซึ่งมีหน่วยวัดที่นิยมใช้เป็น “กิโลเมตรต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (km/kWh)” หรือ “กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อ 100 กิโลเมตร (kWh/100km)” เปรียบเสมือนกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ที่วัดเป็น “กิโลเมตรต่อลิตร” นั่นเอง
การเข้าใจเรื่องอัตราสิ้นเปลืองรถไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณสามารถประเมินค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าในระยะยาว และเปรียบเทียบระหว่างรถไฟฟ้าแต่ละรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกรถที่เหมาะสมกับความต้องการ และงบประมาณของคุณได้ดียิ่งขึ้นครับ
อัตราสิ้นเปลืองรถไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อค่าไฟยังไง
อัตราสิ้นเปลืองรถไฟฟ้ามีผลโดยตรงต่อค่าไฟที่คุณต้องจ่ายในแต่ละเดือน โดยหลักการแล้ว ยิ่งรถมีอัตราสิ้นเปลืองสูง (วัดเป็น km/kWh) ก็ยิ่งประหยัดค่าไฟได้มาก เพราะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่าต่อการใช้ไฟฟ้า 1 หน่วย เช่นเดียวกับรถน้ำมันที่ยิ่งวิ่งได้หลายกิโลเมตรต่อลิตร ก็ยิ่งประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง
ตัวอย่างเช่น หากรถไฟฟ้าคันหนึ่งมีอัตราสิ้นเปลืองที่ 7 km/kWh และอีกคันอยู่ที่ 5 km/kWh เมื่อวิ่งในระยะทางเท่ากัน รถคันแรกจะใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่า ทำให้ประหยัดค่าไฟได้มากกว่า ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้า คุณควรพิจารณาอัตราสิ้นเปลืองควบคู่ไปกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคารถ ขนาดแบตเตอรี่ และฟังก์ชันการใช้งาน เพื่อให้ได้รถที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณครับ
วิธีคำนวณค่าไฟรถไฟฟ้าแบบง่ายๆ
การคำนวณค่าไฟรถไฟฟ้าไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงคุณรู้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับรถและอัตราค่าไฟฟ้า ก็สามารถคำนวณได้ด้วยตัวเอง โดยต้องทราบข้อมูลสำคัญ 2 อย่าง คือ
- อัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้าของรถ (km/kWh หรือ kWh/100km)
- ราคาค่าไฟฟ้าต่อหน่วย (บาท/kWh)
โดยมีสูตรการคำนวณค่าไฟรถไฟฟ้า ดังนี้
- สำหรับอัตราสิ้นเปลืองที่วัดเป็น kWh/100km :
- ค่าไฟต่อกิโลเมตร = (อัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า ÷ 100) × ราคาค่าไฟต่อหน่วย
- สำหรับอัตราสิ้นเปลืองที่วัดเป็น km/kWh :
- ค่าไฟต่อกิโลเมตร = ราคาค่าไฟต่อหน่วย ÷ อัตราสิ้นเปลือง
ตัวอย่างการคำนวณ
- สมมติว่ารถไฟฟ้าของคุณมีอัตราสิ้นเปลือง 18.5 kWh/100km
- ค่าไฟฟ้าที่บ้านในช่วง Off-peak อยู่ที่ 3.8 บาทต่อหน่วย
วิธีคำนวณ
- แปลงอัตราสิ้นเปลืองเป็น km/kWh :
- 100 ÷ 18.5 = 5.4 km/kWh
- คำนวณค่าไฟต่อกิโลเมตร :
- 3.8 ÷ 5.4 = 0.70 บาท/กิโลเมตร
หรือสามารถคำนวณโดยตรงจาก kWh/100km ได้เลย ด้วยสูตรนี้
- ค่าไฟต่อกิโลเมตร = (18.5 ÷ 100) × 3.8 = 0.70 บาท/กิโลเมตร
ดังนั้น รถคันนี้จะมีค่าไฟที่ 0.70 บาทต่อกิโลเมตร หากต้องการทราบค่าไฟต่อเดือน ให้นำตัวเลขนี้คูณกับระยะทางที่คุณขับในแต่ละเดือน เช่น หากขับ 1,000 กิโลเมตรต่อเดือน ค่าไฟจะอยู่ที่ 0.70 × 1,000 = 700 บาทต่อเดือนครับ
วิธีคำนวณระยะทางวิ่งของรถไฟฟ้า
นอกจากการคำนวณค่าไฟแล้ว การทราบระยะทางที่รถไฟฟ้าสามารถวิ่งได้จากแบตเตอรี่เต็ม ก็เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ใช้รถไฟฟ้า เพื่อวางแผนการเดินทาง และลดความวิตกกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดกลางทาง หรือ Range Anxiety ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ใช้รถไฟฟ้า
การคำนวณระยะทางวิ่งของรถไฟฟ้า สามารถทำได้โดยใช้สูตรต่อไปนี้
- ระยะทางที่วิ่งได้ = ความจุแบตเตอรี่ × อัตราสิ้นเปลือง (km/kWh)
หรือในกรณีที่อัตราสิ้นเปลืองอยู่ในรูปแบบ kWh/100km ก็สามารถใช้สูตรด้านล่างนี้ได้เลยครับ
- ระยะทางที่วิ่งได้ = (ความจุแบตเตอรี่ ÷ อัตราสิ้นเปลือง) × 100
ตัวอย่างการคำนวณ
- สมมติว่ารถไฟฟ้าของคุณมีความจุแบตเตอรี่ 62 kWh
- อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 18.5 kWh/100km
วิธีคำนวณ
- แปลงอัตราสิ้นเปลืองเป็น km/kWh : 100 ÷ 18.5 = 5.4 km/kWh
- คำนวณระยะทางที่วิ่งได้ : 62 × 5.4 = 334.8 กิโลเมตร
หรือคำนวณโดยตรงจาก kWh/100km ด้วยสูตรนี้ได้เลย
- ระยะทางที่วิ่งได้ = (62 ÷ 18.5) × 100 = 335 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการหมดแบตเตอรี่กลางทาง แนะนำให้หักลบ 10% จากค่าที่คำนวณได้ เนื่องจากอัตราสิ้นเปลืองในการใช้งานจริงอาจแตกต่างจากค่าทางทฤษฎี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ลักษณะการขับขี่ สภาพถนน สภาพอากาศ และการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ
วิธีคำนวณหาระยะทางที่ปลอดภัย
- ระยะทางที่ปลอดภัย = 335 – (335 × 10%) = 301.5 กิโลเมตร
ดังนั้น คุณควรวางแผนการเดินทางโดยคำนึงถึงระยะทางที่ปลอดภัยประมาณ 301.5 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้งครับ
แชร์ทริคประหยัดพลังงาน ช่วยให้ใช้งานรถไฟฟ้าได้นานขึ้น
นอกจากการเลือกรถไฟฟ้าที่มีอัตราสิ้นเปลืองสูงแล้ว ยังมีเทคนิคในการขับขี่ที่จะช่วยให้คุณประหยัดพลังงาน และใช้งานรถไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มระยะทางที่สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มาดูเทคนิคต่างๆ กันครับ
1. ควบคุมความเร็วให้คงที่
การขับรถด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอและไม่เร่งรถบ่อยเกินไป จะช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมาก โดยเฉพาะการขับที่ความเร็วปานกลางประมาณ 80-90 กม./ชม. จะเป็นช่วงที่ประหยัดพลังงานที่สุดสำหรับรถไฟฟ้าส่วนใหญ่ หากขับเร็วเกินไป แรงต้านอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ทำให้ใช้พลังงานมากขึ้น การใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) เมื่อขับบนทางด่วน หรือถนนที่ไม่มีการจราจรติดขัด จะช่วยรักษาความเร็วให้คงที่ และประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
2. หลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องกะทันหัน และเบรกบ่อย ๆ
การเร่งรถอย่างรวดเร็ว และการเบรกกะทันหัน เป็นพฤติกรรมการขับขี่ที่สิ้นเปลืองพลังงานมากที่สุด แนะนำให้ค่อยๆ เร่งความเร็วอย่างนุ่มนวล และคาดการณ์สภาพการจราจรล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน
นอกจากนี้ รถไฟฟ้าส่วนใหญ่มีระบบเบรกแบบรีเจนเนอเรทีฟ (Regenerative Braking) ที่จะนำพลังงานจากการเบรกกลับมาเก็บในแบตเตอรี่ การใช้ระบบนี้อย่างเหมาะสม เช่น การปล่อยคันเร่งล่วงหน้าเพื่อให้รถช้าลงด้วยการเบรกแบบรีเจนฯ แทนการเหยียบเบรก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้มากขึ้นครับ
3. ใช้โหมดประหยัดพลังงาน
รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ส่วนใหญ่มาพร้อมกับโหมดการขับขี่หลายรูปแบบ โดยมักจะมีโหมดประหยัดพลังงาน (Eco Mode) ที่จะปรับการตอบสนองของคันเร่งให้นุ่มนวลลง ลดการใช้พลังงานของระบบปรับอากาศ และปรับการทำงานของระบบอื่นๆ เพื่อประหยัดพลังงาน
นอกจากนี้ ฟีเจอร์ เช่น One Pedal Driving หรือการขับด้วยแป้นเดียว ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้คุณควบคุมทั้งการเร่งและชะลอความเร็วด้วยแป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียว ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้อย่างมาก เนื่องจากระบบจะใช้การเบรกแบบรีเจนฯ อย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่อคุณปล่อยคันเร่งครับ
4. ปิดการใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น
อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในรถ เช่น เครื่องปรับอากาศ ระบบทำความร้อน ที่นั่งไฟฟ้า และระบบความบันเทิง ล้วนใช้พลังงานจากแบตเตอรี่หลักของรถ การลดการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้เมื่อไม่จำเป็น จะช่วยประหยัดพลังงานได้มาก
โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและระบบทำความร้อน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานมากที่สุด การตั้งอุณหภูมิที่พอเหมาะ (ไม่เย็นหรือร้อนเกินไป) ปรับพัดลมให้อยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง หรือใช้ระบบปรับอากาศเฉพาะที่ (ที่เบาะคนขับเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งคัน) จะช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญครับ
สรุป รถไฟฟ้า ตัวเลือกการขับขี่ที่คุ้มค่า ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน
รถไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเดินทางในปัจจุบัน ด้วยข้อดีทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายในระยะยาว การทำความเข้าใจเรื่องอัตราสิ้นเปลืองรถไฟฟ้า และวิธีคำนวณค่าไฟ จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการใช้งานและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถไฟฟ้า นอกจากจะต้องเข้าใจเรื่องอัตราสิ้นเปลืองและค่าใช้จ่ายแล้ว คุณยังควรคำนึงถึงการทำประกันรถยนต์ที่เหมาะสมด้วย ประกันติดโล่มีแผนประกันรถยนต์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับรถไฟฟ้า ครอบคลุมทั้งตัวรถ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์ชาร์จ รวมถึงให้ความคุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือความเสียหายจากไฟไหม้ น้ำท่วม และภัยธรรมชาติอื่นๆ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ครับ
ที่มา: EV ME, AutoSpinn